วิกรม กรมดิษฐ์…เขียนในวาระอายุคบ 60 ปี
เปิดตัว 18 ธ.ค.55 ที่ลานหน้าหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร (สี่แยกปทุมวัน)
ประภัสสร เสวิกุล…เรียบเรียง
มูลนิธิอมตะ ราคา 20 บาท
http://www.seventeenthailand.com/17_lifestyle/detail.php?topic=entertainment&hID=288
คาถา หมายถึง คำประพันธ์ประเภทร้อยกรอง
และคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นก็เป็นการสอนโดยใช้คาถาเช่นกัน
คนไทยเราคุ้นเคยกับคาถา หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่าสุภาษิตนั่นเอง
และคาถาชีวิตของคุณวิกรมนั้น
ก็เป็นข้อความที่ผ่านการเรียงร้อยมาเป็นอย่างดี
เป็นคาถาที่เกิดขึ้นจากการใช้ชีวิต
เพื่อนำมาถ่ายทอดเป็นอุทาหรณ์และแนวทางให้กับอีกหลายชีวิต
คุณวิกรม บอกว่า หนังสือเล่มนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากการสะท้อนประสบการณ์ชีวิต
ที่บ้านเขาใหญ่ด้วยการเขียนหนังสือ..ผมจะเป็นคนดี..
ในการเขียนต้นฉบับมีข้อความหลายประโยคของความรู้สึกนึกคิดและมุมมองใหม่ ๆ
ผุดขึ้นมาจากความทรงจำ แต่คงไม่สำคัญเท่ากับการที่ได้จับสิ่งเหล่านั้น
มาแปรรูปเป็นความรู้ ความคิด
ใช้เป็นข้อเตือนใจเตือนสติตนเองให้ห่างไกลจากปัญหา
และเป็นเครื่องนำทางในการก้าวไปสู่อนาคต
และครั้งนี้คุณวิกรมขอแบ่งปันคาถาชีวิตจำนวน 60 ข้อความ
ประกอบรูปภาพชีวิตตั้งแต่เด็กถึงปัจจุบัน
ให้กับทุก ๆ ท่านนำไปปรับใช้กับชีวิต
จาก คาถาชีวิต ที่ว่า
1. เรียนก่อนที่จะรู้ รู้ก่อนที่จะทำ
2. อยู่ให้ได้ทุกสถานการณ์
3. เกียรติยศของคน อยู่ที่ผลของความดี
4. ชีวิต มีค่ากว่าอารมณ์
5. ยอมจำนนกับอดีต แต่ไม่ยอมแพ้กับอนาคต
6. ทำดี ไม่ต้องมีคำชม
7. ห้วงรัก-เหวลึก
8. เก่งแต่ไม่โกง
9. แต่ละคน มีวิธีการทำที่แตกต่างกัน แต่เป้าหมายเดียวกัน
10. ไม่มีอะไรดีที่สุด แต่ต้องทำให้ดีกว่าเดิม
11. หยุดคิด ชีวิตจะล้าหลัง
12. ตัวเราเล็กลง เมื่อมองเห็นโลกกว้างขึ้น
13. มองให้ไกล ไปให้ถึง
14. พรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้
15. ให้ก่อนได้
16. เวลาคือต้นทุน ชีวิตสุดท้ายคือศูนย์
17. พอดี พอควร
18. ไม่มีอะไรสาย สำหรับวันนี้
19. อิ่มสุข ทุกข์หมด
20. อารมณ์คือปัญหา ปัญญาคือทางออก
21. ความงมงายคือภัยร้ายต่อชีวิต
22. เตียงมีไว้นอน โต๊ะมีไว้ทำงาน
23. หมดฝัน เมื่อหมดลมหายใจ
24. การท้าทายตนเอง ถือเป็นการพิสูจน์ตนเอง
25. ทุกชีวิตคิดไม่เหมือนกัน
26. เดินบนถนนที่ตนรู้
27. เกิดมามีบุญ ต้องรู้จักบุญที่ตนเองมี
28. อย่ายอมแพ้ ถ้ายังมีโอกาส
29. ความรักคือความยั่งยืนของครอบครัว
30. มองกระจกเวลาโกรธ
31. ทำงานเยอะก็พักเยอะ
32. หากไม่รู้จักตนเองเป็นใคร คงไปไกลลำบาก
33. ความฝันไม่ต้องเสียเงิน
34. หลงทางดีกว่าหลงตัว
35. สิ่งที่เรามี ถ้าเราไม่ได้ใช้ ก็ไม่ใช่ของเรา
36. เตรียมตัวมาก ปัญหายิ่งน้อยลง
37. จนเงินทอง แต่ไม่จนความสะอาด
38. สมองมีไว้คิด กระดาษมีไว้จด
39. คนขี้เกียจอายุสั้น คนขยันอายุยืน
40. อย่าให้ชีวิตเราเป็นแบบหมู หมา กา ไก่
41. แม้แต่พระอาทิตย์ก็มีจุดบอด
42. อย่าโกงความจริง อย่าหลอกตัวเอง
43. ความสุขเกิดได้ทุกหนแห่ง ถ้าเราเป็นคนมีสุข
44. ปัญหาทุกอย่างมีทางออกเสมอ
45. ความหวังคือพลังชีวิต
46. ทำในสิ่งที่ตนพอใจ และพอใจในสิ่งที่ตนทำ
47. ความโลภ ทำลายโลก
48. จริงจัง แต่ไม่เครียด
49. ไม่มีอะไรหยุดความคิดได้
50. รู้จักกิน รู้จักใช้
51. อย่าเอาเปรียบ หรือข่มเหงผู้ที่อ่อนแอกว่า
52. หากปัญหาเกิดด้วยตัวเรา ต้องแก้ด้วยตัวเรา
53. ตนคือผู้กำหนด หนทางของตน
54. ความด้อยไม่ใช่ข้อจำกัด ของการเป็นคนดี
55. ความยากจนจะเกิดกับคนที่กลัวลำบาก
56. คิดดีไม่มีต้นทุน
57. คิดก่อนพูดจะไม่เสียใจในอนาคต
58. ความโง่เขลาคือการไม่อยากเรียนรู้
59. หนังสือเป็นเข็มทิศแห่งปัญญาและอนาคต
60. อย่าคิดว่าตนเองดีหรือวิเศษกว่าผู้อื่นเสมอ
หนังสือราคา 20 บาท
หาซื้อได้ในร้านเซเว่นทุกสาขา (ถ้าไม่หมดซะก่อน)
http://www.vikrom.net
http://www.booksmile.co.th/index.php?lay=show&ac=cat_show_pro_detail&pid=248216
อ่านแล้วรู้สึกว่านี่แหละคือชีวิตค่ะ มีข้อคิดดีดีให้คิดเยอะค่ะ
ดีมากค่ะ อ่านแล้วยังสามารถนำไปเผยแพร่ให้คนอื่นๆได้รู้อีก ชอบมากๆค่ะ
ประเทศไทยเอาดีได้ ……..โดย ปรีชา @สยามสไมล์
@ว่าด้วยเรื่องกีฬาไทย
นานๆครั้งเจอข่าวมวยไทยในทีวี ข่าวกีฬาท็อปฮิตตลอดกาล ทุกเช้าทุกช่อง คือกีฬาฟุตบอล ผมอยากเห็นกีฬามวยไทยพรีเมียลีกส์ จัดแบบเชิญทุกค่าย ทุกชาติ เข้าร่วมการแข่งขัน ชิงเงินรางวัลสูงๆ เหมือนกีฬากอล์ฟ ประเทศไทยโด่งดังด้วยมวยไทยไปทั่วโลกครับ
@ว่าด้วยเรื่อง การทูตไทย
ทุกครั้งที่มีเหตุการณ์ภัยพิบัติ อเมริกาส่งทหารพร้อมอุปกรณ์การช่วยเหลือผู้ประสบภัย เป็นข่าวดังไปทั่วโลก ผมอยากเห็นประเทศไทยส่งข้าวหอมไทย พร้อมแม่บ้านพ่อครัว ไปหุงข้าวแจกจ่ายช่วยเหลือผู้ประสบภัย ให้ชาวโลกได้คุ้นชินรสชาดอันเอร็ดอร่อยของข้าวไทย ยามเวลาใดก็ตามที่มีเหตุการณ์ระทึกขวัญ ชาวโลกก็จะคิดถึงประเทศไทย ด้วยเอกลักษณ์รูปแบบการช่วยเหลือแบบไทยๆ ให้ข่าวกระจายฉายภาพคนไทยผู้ใจดี ออกสู่สายตาชาวโลกทุกครั้ง สถานทูตไทยก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนของประเทศอื่น สถานทูตไทยตั้งอยู่ ณ จุดใดประชาชนของประเทศนั้น ก็จะพากันมาเที่ยว เหมือนไปเที่ยวห้างสรรพสินค้า เพราะมี ทั้งอาหารไทย มีนวดไทย มี โรงเรียนสอนมวยไทย มีของที่ระลึกจากไทย มีทัวร์ไทยราคาพิเศษ มีทุนการศึกษาของไทยให้นานาชาติได้มาเรียน และในขณะเดียวกันก็สรรหาทุน ให้นักเรียนไทยได้มาเรียนในประเทศนั้นๆ จัดกิจกรรมปฐมนิเทศรับทัวร์ไทยในต่างแดน ให้คนไทยได้มีโอกาสเป็นเจ้าของสถานทูตร่วมกัน การทูตไทยไม่จำเป็นต้องเป็นสถานที่ต้องห้ามอีกต่อไป
@ว่าด้วยเรื่อง สนามบินไทย
อาคารผู้โดยสารขาออก ดูอลังการ ดูดีมีสไตล์ แต่อาคารผู้โดยสารขาเข้า ดูวังเวง ไม่แน่ใจว่าจะโดนแท็กซี่หลอกหรือไม่ ต้องระแวดระวัง ต้องมีทัวร์มารับ เปลี่ยนแนวคิดใหม่ “มาเที่ยวประเทศไทย ไม่มีทัวร์ก็มาได้” ทันที ที่ผู้โดยสารนักท่องเที่ยวผ่านการตรวจตามระบบกฏหมายคนเข้าเมืองแล้ว จะพบกับบรรยากาศที่เป็นมิตรอบอุ่น ด้วยการต้อนรับ ของการท่องเที่ยวไทย ตำรวจท่องเที่ยวไทย ที่ร่วมกับภาคเอกชน หน่วยงานท้องถิ่นที่เกียวข้อง นักท่องเที่ยวอยากจะเที่ยวแบบมีไกด์ หรือไม่มีไกด์ แบบประหยัด จนถึงระดับเศรษฐี ด้วยราคา ที่พักค่าใช้จ่ายที่เป็นมาตรฐาน ปราศจากมิจ่ฉาชีพ ดูแลบริหารจัดการโดยภาครัฐจนถึงภาคราษฎร สร้างไทยให้เป็นเมืองสวรรค์แห่งการพักผ่อนที่ดีที่สุด ปลอดภัยที่สุด คุ้มค่าสุดๆ
@ว่าด้วยเรื่อง การศึกษาไทย
เราต้องเปลี่ยนนิยาม ของการจัดการศึกษาจาก การสอนเป็น การสร้าง สร้างคนเท่ากับสร้างประเทศ ต้องกล้าลงทุนสร้างโรงเรียนให้มีขนาด มาตรฐานเทียบเท่ามหาวิทยาลัย สร้างคนให้ภาคภูมิใจในชาติกำเนิด มีอิสระเลือกและตัดสินใจอย่างรับผิดชอบ เน้นการสร้างคุณสมบัติของคนมากกว่า การวัดคนด้วยความรู้ คนสำเร็จไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่อง แต่ขอให้เอาดีสักเรื่องให้ได้ ตัวอย่างนักเรียนไทยเรียนภาษาอังกฤษ ซึงถือเป็นวิชาพื้นฐานสากลที่จำเป็นต่อการสื่อสารกับชาวโลก และต้องใช้ทำมาหากิน เรียนจนจบปริญญาตรี ยังไม่กระดิก “การสอน” ยึดข้อสอบความรู้เป็นเกณฑ์วัด แต่”การสร้าง” ยึดคนเป็นศูนย์กลาง ไม่ใช่เรียนเพื่อสอบ แต่จะเป็นการเรียนที่ผู้เรียนอยากเรียน เพราะต้องนำไปใช้ ในชีวิตจริง พระพุทธเจ้าแสวงหาสัจธรรม ท่านสละความศิวิไลซ์ในวัง เข้าป่าเพื่อค้นหา แต่เรา กลับส่งเสริมให้เด็กหนุ่มสาว วัยสี่ยง ออกบ้านเข้าสู่เมือง เพื่อเรียนต่อมหาวิทยาลัย ไปใช้ชีวิตในสังคมเมืองที่พร้อมจะหล่อหลอม ให้เด็กที่มาจากพื้นฐานครอบครัวที่ไม่แข็งแรงต้องพบกับความเสี่ยงมากยิ่งขึ้น คนหนุ่มสาวเหล่านี้ไม่ได้มาตัวเปล่า เขานำเอารายได้ส่วนใหญ่ของครอบครัวมาใช้จ่ายในเมืองด้วย บ้านนอกก็เสียดุลการค้า การสร้างคนเป็นเรื่องละเอียดอ่อนลำพังนักการเมืองคงยากที่จะเข้าใจครับ
@ว่าด้วยเรื่อง การเมืองไทย
ฝ่ายหนึ่งอ้าง ระบอบประชาธิปไตย ที่สังคมโลกให้การยอมรับ แต่ก็มาพร้อมจุดอ่อนของการทุจริตประพฤติมิชอบ อีกฝ่ายลุกขึ้นต่อต้านการทุจริตประพฤติมิชอบ ทั้งสองฝ่ายล้วนมีเหตุผล หาทางออกด้วยการระดมมวลชนผู้สนับสนุน ว่าฝ่ายใครจะมีจำนวนผู้สนับสนุนมากกว่ากัน ท่ามกลางความคิดที่แตกต่าง แต่ทั้งสองฝ่ายก็มีจุดยืนที่เหมือนกัน นั่นคือ การพูดเฉพาะด้านลบ ของอีกฝ่าย ปัญหาก็คือ การพูด การฟังเฉพาะด้านลบ ในระยะเวลาที่ยาวนานติดต่อกัน จะทำให้คนเรารู้สึกแย่ หดหู่ หรือหนักอาจเป็นบ้าเสียสติ สยามเมืองยิ้มอาจกลับกลายเป็น “สยามเมืองยักษ์” เรามาให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย ด้วยการจัดเวที ให้ท่าน สุเทพ กับ ท่านจตุพร ได้คุยกันโดยลำพัง ปราศจากเสียงรบกวนจากกองเชียร์ จัดให้มีการถ่ายทอดสด ไม่มีกำหนดเวลา จนกว่าจะแพ้หรือชนะกันไปข้าง อนุญาตให้บ่อนพนัน รับแทง ทั่วโลก รับรองจะมีสปอนเซอร์โฆษณา มีการลุ้นผลหน้าจออย่างล้นหลาม ชาวต่างประเทศจะเดินทาง มาลุ้นผลถึงที่ มีรายได้เข้าประเทศ เศรษฐกิจรุ่งพุ่งกระจาย
ท่านๆที่เคารพ เหลืองก็เพื่อน แดง ก็เพื่อน ผมรักและเคารพ ความคิดเห็นทั้งสองฝ่าย แต่ประเด็นที่เราต้องทบทวน ก็คือ วันนี้หากเราขจัดระบอบทักษิณได้ แล้ว ทุจริต จะหมดจากแผ่นดินไทยหรือไม่ ปัญหาการทุจริตไม่ได้มีแต่เฉพาะตัวบุคคลแต่ มันแฝงตัวเป็นส่วนหนึ่งของระบอบการบริหารประเทศ ตั้งแต่ในระดับท้องถิ่นไปจนถึงระดับชาติ ตั้งแต่ ระดับ อบต อบจ เทศบาลสส สว ตราบใดที่เราใช้กติกาแต่ไม่ยอมรับผลของกติกา ปัญหาก็ไม่จบ ผมมีไอเดีย ที่ขออนุญาตนำเรียนเสนอ ดังนี้
1.คุณสมบัติและที่มาของวุฒิสมาชิก
จัดให้มีสภาประชาชนในระดับจังหวัดและประเทศ ให้เป็นสภาการทำงานของวุฒิสมาชิก กำหนดคุณสมบัติผู้สมัครที่สามารถป้องกัน การก้าวล้ำของฝ่ายการเมือง กำหนดกติกาการเลือกตั้งที่ปลอดจากอิทธิพลทางการเมือง กำหนดจำนวน สมาชิกวุฒิสภา มากกว่าหรือเท่ากับจำนวน สส เพื่อการคานอำนาจในรัฐสภา และมีอำนาจในการกำกับตรวจสอบ ตั้งแต่การบริหารระดับท้องถิ่น จนถึงระดับชาติ
2.คุณสมบัติและที่มาของรัฐบาล
ให้มีการเลือกตั้งรัฐบาลโดยตรง โดยเลือกจากพรรคการเมืองที่เสนอตัวเขามา พร้อมนโยบาย และตัวบุคคลที่จะมาทำหน้าที่ในตำแหน่งรัฐมนตรี เสนอตัวต่อสาธารณชน ให้ชาวบ้าน ชาวสื่อ ได้รู้จัก และขุดคุ้ยประวัติ การที่รัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง ไม่ใช่จากโควตา กลุ่ม ก๊วน สส จะช่วยตัดวงจรการลงทุนทางการเมือง หัวหน้ารัฐบาลจะเข้มแข็ง เพราะไม่ได้อยู่ภายใต้แรงกดดัน ของคะแนนเสียง สส ทำให้ต้นทุนการเป็นรัฐบาลต่ำ การที่สังคมเข้าใจและพยายามช่วยเหลือพรรคการเมืองให้เขาเหล่านักการเมือง ได้อำนาจ มาบริหาร แบบรัฐบาลโลว์คอส ก็จะเป็นการส่งเสริมมิให้มีการทุจริตได้ในระดับหนึ่ง
วิธีการเลือกตั้งรัฐบาลสายตรง ควรต้องให้มีการจัดเลือกตั้ง สองครั้ง เลือกตั้งครั้งที่หนึ่ง ให้โอกาสทุกพรรคการเมืองที่พร้อมลงสมัคร เลือกตั้งครั้งที่สอง คัดเอาเฉพาะพรรคการเมือง ที่มีคะแนนเป็นอันดับหนึ่ง และอันดับสอง มาแข่งขันกัน หากพรรคใดชนะ ก็ได้เป็นรัฐบาล พรรคอันดับสอง ก็เป็นผู้นำฝ่ายค้าน
ท่านที่รัก จากแนวความคิดนี้ อาจจะไม่ใช่วิธีคิดที่ดีที่สุด เราท่านอาจมีความเห็นต่าง แต่ด้วยเจตนาความคิดบริสุทธิ์ปราศจากผลประโยชน์ทางการเมือง การเปิดโอกาส ดีๆ กับความคิดดีๆ ที่ไม่หลงยึดติด ได้มีส่วนร่วมในการนำเรียนเสนอ เพราะประเทศไทยเป็นของพวกเราทุกคน
ประเทศไทยเอาดีได้ ครับ
ปรีชา @สยามสไมล์
Isc.preecha@gmail.com
http://www.siamsmilecard.com